น้ำตาล ไม่ใช่ตัวร้ายอีกต่อไป หากทานอย่างถูกวิธี
Share: facebook_share line_share twitter_share messenger_share

น้ำตาล ไม่ใช่ตัวร้ายอีกต่อไป หากทานอย่างถูกวิธี


น้ำตาล บางคนที่ได้ยินคำนี้อาจจะหวาดระแวง เพราะในปัจจุบันน้ำตาลถือว่าเป็นส่วนประกอบของอาหารคาวและของหวานหลายๆชนิด อาทิ เครื่องดื่มน้ำอัดลม, น้ำหวาน รวมถึงอาหารแปรรูปที่มีน้ำตาลแฝงอยู่ เช่นลูกอม หรือ เบเกอรี่ต่าง ๆ

 

ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า น้ำตาล เป็นสารอาหาร ที่มีความจำเป็น ต่อร่างกาย ถ้าหากรับประทาน ในปริมาณที่เหมาะสม ก็จะไม่มีผลเสียต่อร่างกาย แต่หากรับประทาน มากเกินไป จะสะสมเป็นไขมัน ในร่างกายได้ ดังนั้น เราจึงควรบริโภค น้ำตาลในปริมาณ ที่เหมาะสมสำหรับ แต่ละช่วงวัย โดยเฉพาะ “วัยเด็ก” เพื่อเป็นแนวทางให้คุณพ่อคุณแม่ในการสร้างพฤติกรรมการบริโภคให้เด็กไทย อ่อนหวาน

 

น้ำตาล.......มีกี่แบบ อะไรบ้าง

 

น้ำตาลเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่ง ที่เป็นแหล่งพลังงาน ของร่างกาย ซึ่งทั่วไปแล้ว สามารถแบ่งประเภท ของน้ำตาลได้หลากหลายแบบ แต่เราจะแบ่งง่าย ๆ ออกเป็น

 

1) น้ำตาลที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ได้แก่ น้ำตาลฟรุกโตสที่มีอยู่ในผักผลไม้ น้ำตาลแลคโตสที่มีอยู่ในนม และน้ำตาลมอลโตสที่มีอยู่ในมอลต์

 

2) น้ำตาลที่เติมเพิ่ม เช่น น้ำตาลทราย ที่มีการเติมเข้าไปในอาหารและเครื่องดื่มระหว่างกระบวนการผลิตหรือเตรียมอาหาร เช่น การเติมน้ำตาลทรายลงในเครื่องดื่มต่าง ๆ การเติมน้ำผึ้งลงในแพนเค้ก หรือการเติมน้ำตาลทรายแดงในเค้กหรือคุกกี้

 

น้ำตาล.......ต้องทานเท่าไรถึงจะพอเหมาะ

 

คนทั่วไปสามารถรับประทานน้ำตาลได้ แต่ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมเพราะร่างกายยังต้องการน้ำตาลเพื่อใช้เป็นพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่ควรตระหนักคือไม่ว่าจะรับประทานน้ำตาลชนิดใด ควรรับประทานในปริมาณที่ไม่เกินความต้องการของร่างกาย โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำปริมาณน้ำตาลที่เติมเพิ่มในอาหารว่าไม่ควรเกินร้อยละ10 ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน หรือประมาณ 200 กิโลแคลอรี สำหรับผู้ที่ต้องการพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี และ ข้อมูลธงโภชนาการของคนไทย ยังแนะนำให้บริโภคน้ำตาลที่เติมเพิ่มในอาหารไม่เกิน 4 6 และ 8 ช้อนชา สำหรับผู้ที่ต้องการพลังงาน 1,600 2,000 และ 2,400 กิโลแคลอรีต่อวันตามลำดับ

 

น้ำตาล.......ทานยังไงให้ได้ประโยชน์

 

โดยปกติเราได้น้ำตาลจากการกินอาหารในแต่ละวันอยู่แล้ว เพื่อการกินน้ำตาลในปริมาณที่เหมาะสมเราสามารถควบคุมปริมาณน้ำตาลที่เติมเพิ่มได้ โดย องค์การอนามัยโลก World Health Organization (WHO) สมาคมโรคหัวใจแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา The American Heart Association (AHA) สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดปริมาณน้ำตาลที่สามารถเติมในรูปแบบของน้ำตาลที่เติมลงในอาหารในแต่ละวันคือ เด็กวัย 6-13 ปี มีความต้องการพลังงาน 1,600 กิโลแคลอรีต่อวัน ควรรับประทานน้ำตาลไม่เกิน 4 ช้อนชาหรือ 16 กรัมต่อวัน (โดยน้ำตาล 1 ช้อนชาจะให้พลังงานเท่ากับ 4 กิโลแคลอรี) เพื่อให้มีพลังงานไปทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันเต็มที่ และ สำหรับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไปจนถึงผู้ใหญ่ ซึ่งมีความต้องการพลังงาน 2,000-2,400 กิโลแคลอรีต่อวัน จึงควรรับประทานน้ำตาลไม่เกิน 6-8 ช้อนชาต่อวัน

 

วิธีกินของหวานโดยไม่อ้วน

 

1. รู้ปริมาณแคลอรี ก่อนที่เราจะกินขนมหวาน ควรอ่านปริมาณแคลอรีในขนม โดยดู จากฉลากแสดงข้อมูลโภชนาการข้างกล่อง หากเป็นไปได้ ควรเลือกกิน หรือเลือกซื้อชนิดที่มีปริมาณไขมันหรือแคลอรีรวมให้ต่ำที่สุด

 

2. ลดแคลอรี การตัดน้ำตาล ครีม ออกจากขนมก่อนกิน  เช่น เกลี่ยน้ำตาลไอซิ่งที่โรยหน้าขนมปังออก หรือไม่ใส่กะทิในขนมหวาน จะลดพลังงานได้ถึง 81- 150 แคลอรี หรือเกลี่ยครีมหน้าขนมเค้กออก ลดพลังงานได้ถึง 160 แคลอรี

 

3. ควบคุมสัดส่วนการกิน กินอย่างละนิดพอให้รู้รสชาติ เช่น คุกกี้ 1-2 ชิ้น, เค้ก 1 ส่วน 4/ชิ้นเล็ก, ไอศกรีม 1 ลูก เราจะได้ชิมรสขนมทั้งหมดโดยได้แคลอรีเพียงครึ่งเดียว

 

4. ดื่มชาเขียว หรือกาแฟร้อนหลังมื้อขนม คาเฟอีนจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน หากต้องการเพิ่มรสชาติให้ใส่น้ำตาลเทียมแทน

 

5. 15 นาที หลังกินขนมหวานเสร็จอย่านั่งอยู่กับที่ ออกไปเดินเล่นรอบบ้านๆ ประมาณ 15 นาที วิธีนี้นอกจากจะช่วยย่อยแล้ว ยังป้องกันไม่ให้ไขมันสะสมที่หน้าท้อง ต้นขา และสะโพกได้อีกด้วยน้า

 

6. 30 นาที หลังกินของหวาน 5 ชั่วโมง ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที เพื่อกำจัดแป้งและน้ำตาลก่อนกลายเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยก่อนและหลังออกกำลังกายควรดื่มชาเขียวร้อน หรือน้ำอุ่นเพื่อให้เกิดระบบเผาผลาญควบคู่ไปด้วย

 

7. งดแป้ง และน้ำตาลในวันรุ่งขึ้น มื้อเช้าและกลางวันเน้นผัก 80% โปรตีน 20% ส่วนมื้อเย็นให้กินผักผลไม้สด และดื่มน้ำเปล่าทั้งวัน

    

น้ำหวานดอกมะพร้าวออร์แกนิค ความหวานจากธรรมชาติ ได้คุณค่าได้ประโยชน์

 

น้ำหวานดอกมะพร้าว ( Coconut Syrup ) ได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายมาหลายพันปีแล้ว โดยถือให้น้ำหวานดอกมะพร้าว ( Coconut Syrup ) เป็นอาหารบำรุงกำลัง ปรับสมดุลให้กับร่างกาย ช่วยให้อวัยวะภายในทำงานได้ดีขึ้น ช่วยรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก ช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย ลดกรดในกระเพาะอาหาร ใช้ล้างแผล ฆ่าเชื้อโรค ใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกได้

 

นอกจาก น้ำหวานดอกมะพร้าว ( Coconut Syrup ) จะใช้นำมาเป็นอาหารที่อุดมคุณค่าแล้ว น้ำหวานดอกมะพร้าว ( Coconut Syrup ) ยังมีสรรพคุณมากมายเพื่อความงามอีกด้วย นอกจากนี้ น้ำหวานดอกมะพร้าว ( Coconut Syrup ) มีสารประกอบที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องแสงแดดและรังสียูวี แถมช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง นุ่มเนียน

 

น้ำหวานดอกมะพร้าวออร์แกนิค ตราแมนเนเจอร์ (Organic Coconut Syrup By ManNature) เป็นน้ำหวานเข้มข้นที่ผลิตได้จากดอกมะพร้าวธรรมชาติ 100% โดยไม่ใช่วัตถุกันเสีย ไม่เติมสี ไม่ใส่กลิ่น รวมทั้งไม่เจือปนน้ำตาลทรายแดง สามารถใช้แทนความหวานของน้ำผึ้ง หรือน้ำเชื่อม รสชาติหวานกลมกล่อม ใช้ได้ดีกับผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือคนที่มีปัญหาเรื่องคอเลสเตอรอลที่ยังต้องการความหวาน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ต่ำลงและป้องกันโรคเบาหวานได้

 

ท้ายนี้ ผู้ใหญ่หรือคุณพ่อคุณแม่ควรแนะนำให้เด็กไทยบริโภคน้ำตาลอย่างเข้าใจด้วยการส่งเสริมให้ลูกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และมีปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสม ควบคู่กับการให้ลูกได้ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านอย่างการออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬา ซึ่งจะช่วยให้ลูกมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืนครับ

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก น้ำหวานดอกมะพร้าวออร์แกนิค ตราแมนเนเจอร์ (Organic Coconut Syrup By ManNature)

 

อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

ติดหวานได้ แต่อย่าติด น้ำตาล

น้ำหวานดอกมะพร้าวกับเทรนรักสุขภาพวีแกน ( Vegan )


Tag :


บทความที่แนะนำ