10 วิธีลดหวาน ที่ใครๆก็ทำได้
Share: facebook_share line_share twitter_share messenger_share

10 วิธีลดหวาน ที่ใครๆก็ทำได้


ติดกินรสหวานส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าที่เราคิดไว้ เพราะไม่ใช่แค่โรคอ้วนถามหาอย่างเดียวเท่านั้น ยังก่อให้เกิดโรคเรื้อรังอื่น ๆ ตามมาอีกด้วย

 

สำหรับใครที่ชอบกินหวานแต่อยากหาวิธีลดกินหวาน วันนี้เรามีวิธีลดหวาน10 วิธี ที่ทำได้จริง ไปดูกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง

 

1. จะปรุงรสหวานต้องตวงใส่ช้อนเท่านั้น

  

          วิธีแรกที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายเราได้รับความหวานมากกว่าที่ควรก็คือ การคำนวณด้วยช้อนแทนการเทแบบกะ ๆ ใส่ในอาหารโดยตรง เพราะการทำแบบนี้จะทำให้เราไม่รู้เลยว่าปรุงหวานมากไปเท่าไรแล้ว ดังนั้นใครที่ชอบปรุงรสด้วยวิธีเทใส่อาหาร หันมาตวงใส่ช้อนให้เห็นปริมาณดีกว่า เราจะได้รู้ยังไงล่ะว่านี่มากเกินไปจนน่าขนลุกรึเปล่า เพราะถ้าหากไม่หวาน ก็ใส่เพิ่มได้ แต่ถ้าปรุงจนหวานมากไปแล้ว คงแก้ไขยากนะจ๊ะ

 

 2. ลดปริมาณความหวานลงทุกวัน  

 

          แน่นอนทีเดียวว่าหากเรางดกินของหวานทุกชนิดเอาซะดื้อ ๆ เลย  มีโอกาสที่เราจะรู้สึกหงุดหงิด อารมณ์แปรปรวนมากกว่าที่เคยเป็น สาเหตุเป็นเพราะร่างกายเราขาดน้ำตาลไปหล่อเลี้ยงสมองนั่นเอง ดังนั้นเราจึงขอแนะนำว่า ค่อย ๆ ลดปริมาณความหวานลงทีละนิด  เช่น จากที่เคยชงกาแฟ ใส่นมข้น 2 ช้อน ใส่น้ำตาล 3 ช้อน ก็ลองเปลี่ยนมาเป็นชงกาแฟด้วยนมข้นช้อนชาครึ่ง และน้ำตาลช้อนชาครึ่ง เป็นต้น โดยคุณอาจจะชงด้วยสูตรนี้นานประมาณ 1-2 เดือนแล้วค่อย ๆ ลดปริมาณความหวานลงเพิ่มก็ได้

 

3. บันทึกทุกสิ่งที่คุณกินเข้าไปในแต่ละมื้อ

 

          การจดบันทึกถึงสิ่งที่คุณกินเข้าไปในแต่ละมื้อเป็นหลักฐานชิ้นดีที่จะแสดงให้เห็นว่า มีของหวานอะไรบ้างที่คุณกินมากไปและทำให้น้ำหนักตัวไม่ขยับลงสักที เพราะถ้ารู้แน่ชัดแล้วว่าความหวานส่วนใหญ่มาจากแหล่งไหนกันแน่ คุณก็สามารถลดความหวานได้ตรงจุดมากขึ้น

 

 4. เช็คให้ชัวร์ก่อนว่า หวานจริง หรือ หวานปลอม

 

          รสหวานของจริงที่ดีต่อร่างกายมีอยู่ในผักและผลไม้อยู่แล้ว แต่รสหวานลวง ๆ จะมาในรูปแบบสารให้ความหวานแทนน้ำตาล ซึ่งน้ำตาลในผลไม้สดจะอุดมด้วยน้ำตาลธรรมชาติ เช่น น้ำตาลฟรุคโตส ซึ่งร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยใด ๆ เลย  ในขณะที่สารให้ความหวานแทนน้ำตาลนั้นเป็นเพียงแค่สารสังเคราะห์ที่เมื่อดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดแล้วอาจมีผลต่อระบบการทำงานต่าง ๆ ในร่างกายให้ผิดปกติไปจากเดิมได้ เช่น เปลี่ยนเป็นไขมันก่อนจะถูกลำเลียงเข้าสู่กระแสเลือด สะสมในตับ ก่อให้เกิดโรคเรื้อรังตามมา เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวานและความดันโลหิต เป็นต้น ดังนั้นหากต้องการเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกายจริง ๆ ก็ควรหันมากินผลไม้สด หรือ ดื่มน้ำผลไม้คั้นสดแทนดีกว่า

 

 5. นึกถึงที่มาของอาหารนั้น ๆ

 

          หากคิดจะเปลี่ยนนิสัยติดกินหวานของตัวเอง ก็ควรหันมาใส่ใจในแหล่งที่มาของอาหารนั้น ๆ ด้วย  เพราะอาหารบางประเภทก็ทำมาจากน้ำตาล และไขมันล้วน ๆ เลย เช่นคุกกี้ เค้ก ขนมปังมีไส้ประเภทต่าง ๆ  นอกจากนี้ยังซ่อนอยู่ในอาหารที่ดูเหมือนจะดีต่อสุขภาพอีกด้วย เช่น น้ำสลัดบางรสชาติ โยเกิร์ต นมเปรี้ยว นมถั่วเหลือง โปรตีนบาร์ และโปรตีนเกษตร ซึ่งหากได้ลองอ่านฉลากดูดี ๆ จะพบว่าอาหารพวกนี้ไม่มีไขมันก็จริง แต่ซ่อนน้ำตาลไว้เพียบซึ่งทำลายสุขภาพมากกว่าไขมันซะอีก  ดังนั้นก่อนหยิบอะไรเข้าปากก็ขอให้ฉุกคิดนิดหนึ่งว่าที่ของที่เรากำกินนั้นทำมาจากอะไรกันแน่

 

 6. เสียเวลาอ่านฉลากโฆษณาของสินค้าสักนิดเถอะ

 

          บนฉลากโฆษณาอาหารส่วนมากจะใช้คำที่ผู้บริโภคเข้าใจง่าย ๆ  เช่น “ไขมัน 0%” “ใช้สารแทนความหวาน” “ไม่มีน้ำตาล” “สกัดมาจากธรรมชาติ 100%” หรือแม้แต่ชื่อเรียกส่วนประกอบหลอก ๆ  เช่น Organic Raw Sugar , Maple Syrub , Corn Syrub , Cane Sugar , Honey เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจไปว่าดีต่อสุขภาพจริง ทั้งที่ความจริงแล้วก็ยังมีส่วนประกอบของสารให้ความหวานแทนน้ำตาลอยู่เหมือนเดิม  ดังนั้นก่อนซื้ออาหารทุกครั้งอย่าลืมเสียเวลาอ่านฉลากที่ติดอยู่บนสินค้าสักนิดนะคะจะได้รู้ว่าเรากำลังซื้อสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพจริง ๆ หรือเปล่า 

 

 7. ดื่มน้ำเปล่าดับกระหาย

 

          ข้อนี้เราไม่ได้หมายความว่าให้คุณเลิกอุดหนุนเครื่องดื่มชื่นใจทั้งหลายนะคะ เพียงแต่ขอให้ระวังเรื่องปริมาณการกินเอาไว้สักนิด เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้ประกอบไปด้วยน้ำตาลเกือบร้อย 36 เชียวนะ ! เช่น น้ำผลไม้กล่อง เครื่องดื่มประเภทโซดา เครื่องดื่มประเภทอัดลม กาแฟเย็น เครื่องดื่มชาขวด เครื่องดื่มเพิ่มพลัง และพวกเครื่องดื่มสุขภาพต่าง ๆ ซึ่งเวลาคุณเดินถือเครื่องดื่มเหล่านี้ก็ดูเก๋อยู่หรอก แต่สุขภาพของคุณคงไม่เก๋ไก๋ตามไปด้วยแน่ ๆ หากคุณกินมากกว่าวันละขวด ดังนั้นหันมาดื่มน้ำเปล่าให้มากกว่าเครื่องดื่มพวกนี้เถอะนะ

 

 8. เลิกแก้ง่วงด้วยของกินเล่น

 

          ของกินเล่นบางทีก็เป็นเหมือนเพื่อนสนิทที่คอยแทงข้างหลังเวลาคุณเผลอ เพราะอาหารกินเล่นแก้ง่วงทั้งหลายชนิดที่หยิบเข้าปากเพลิน ๆ เช่น บ๊วย ลูกอม ผลไม้อบแห้งเหล่านี้อัดแน่นมาด้วยน้ำตาล กลูโคสล้วน ๆ เห็นแบบนี้แล้วคงถึงบางอ้อกันแล้วใช่ไหมว่าทำไมกินแล้วหายง่วงทันทีเลย ดังนั้นเปลี่ยนวิธีแก้ง่วงอย่างอื่นโดยพลันนะ หากง่วงจริง ๆ แนะนำให้งีบหลับ แต่ถ้าง่วงไม่มาก ก็เปลี่ยนท่าทางบ้าง ลุกออกไปเดินรับลม หรือ เบนความสนใจเข้าหาสิ่งอื่นเช่น ต้นไม้ใบหญ้า สัตว์ตัวเล็กตัวน้อย เราก็หายง่วงแล้วจ้า

 

 9. ไม่เดินซูเปอร์มาร์เกตตอนหิวจัด

 

          อาการหิวเปรียบเสมือนเรากำลังโดนสิงด้วยวิญญาณร้ายที่ทำให้เรากินได้ไม่เลือก ทางที่ดีอย่าปล่อยให้ตัวเองหิวโซจนหมดสติยั้งคิดเลย เพราะเมื่อไรที่เราหิวแล้วพาร่างเข้าร้านสะดวกซื้อ หรือ ซูเปอร์มาร์เกต มีโอกาสสูงมากที่เราจะหยิบของไม่มีประโยชน์มาตุนไว้เพียบ โดยเฉพาะเมนูอ้วน ๆ เช่น ขนมปัง และขนมกรุบกรอบ เรียกว่าตอนนั้นเหมือนโดนสมองสั่งการมาว่าอะไรก็หยิบ ๆ มาเถอะ ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว ดังนั้น หากรู้ตัวว่าหิวจัด ขอให้นึกไว้เลยว่า หันเข้าหาร้านอาหารเป็นอันดับแรก แล้วค่อยไป ช้อปปิ้ง เราจะได้มีสติคิดว่าต้องซื้ออาหารที่ดีมีประโยชน์มาตุนไว้ เช่น ไข่ไก่ เนื้อสัตว์ ธัญพืช ผลไม้

 

10.  นอนพักผ่อนให้เพียงพอ

 

          เวลาที่ร่างกายไม่สดชื่นจากการพักผ่อนไม่พอ ทำให้รู้สึกอยากกินอะไรหวาน ๆ เพิ่มความสดชื่น หรือใครที่ชอบทำงานดึก ๆ แล้วอาศัยเครื่องดื่มชูกำลังเป็นอาหารหลักแทนข้าว ขอเตือนเอาไว้เลยว่าพฤติกรรมนี้เป็นการทำร้ายหัวใจอย่างมาก เพราะอาจมีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นและส่งผลต่อการทำงานของหัวใจนั่นเอง ดังนั้นหากจำเป็นต้องนอนน้อยจริง ๆ ก็ควรกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพเพื่อเพิ่มพลังงาน และถ้าใครที่มักจะมีอาการน้ำตาลต่ำ บ่อย ก็ขอแนะนำว่าควรนอนให้ได้วันละ 7 - 9 ชั่วโมงต่อคืน

 

นอกเหนือจาก 10 วิธีเหล่านี้แล้ว หากเราต้องการกินหวานแต่ไม่ทำลายสุขภาพก็มีอีกวิธีคือ  

 

น้ำหวานดอกมะพร้าว (coconut syrup) คนที่เป็นเบาหวานสามารถกินได้  ร่างกายจะไม่อ่อนเพลีย ช่วยเรื่องการขับถ่าย แต่ยังครบด้วยสารอาหารที่เพียงพอกับร่างกาย ทำให้รูปร่างดี ไม่อ้วน ทานได้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ยังต้องการความหวาน  เพราะ น้ำหวานดอกมะพร้าว (coconut syrup) น้ำตาลบริสุทธิ์จากธรรมชาติ 100% เป็นน้ำหวานที่ดีต่อสุขภาพเหมาะสำหรับผู้ที่รักสุขภาพและผู้ป่วยโรคเบาหวาน เนื่องจากผ่านการทดสอบและการวิจัยแล้วว่า น้ำหวานดอกมะพร้าว (coconut syrup) มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถรับประทาน น้ำหวานดอกมะพร้าวได้ (coconut syrup)  และยังสามารถใช้ในการปรุงอาหารทั้งคาวและหวาน ไม่ว่าจะขนมหรือเครื่องดื่มก็ใส่ได้แทนน้ำตาลเลยทีเดียว อีกทั้งมีกลิ่นหอม รสหวานกลมกล่อม ไม่ทำให้อาหารและเครื่องดื่มเสียรสชาติ

 

          เห็นไหมคะว่าการลดปริมาณการกินน้ำตาลก็เป็นเรื่องง่าย ๆ ที่เราทุกคนทำได้ เพราะถ้าเลิกนิสัยติดหวานได้เร็วมากเท่าไร สุขภาพของเราก็จะกลับมาแข็งแรงเร็วมากขึ้นเท่านั้น

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก น้ำหวานดอกมะพร้าวออร์แกนิค ตราแมนเนเจอร์ (Organic Coconut Syrup By ManNature)

 

 

ขอขอบคุณข้อมูลจากkapook

 

 

อ่านข้อมูลอื่นเพิ่มเติม

เบาหวานก็สามารถกินน้ำหวานดอกมะพร้าวได้

ไม่เป็นภัยต่อโรค น้ำหวานดอกมะพร้าว


Tag :


บทความที่แนะนำ